หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หวังให้ลูกน้อยโตขึ้นอย่างมั่นคงในทุกๆวันถือเป็นความวาดฝันสูงสุดของผู้ที่เป็นแม่และพ่ออย่างยิ่ง เวลาที่ลูกป่วย หัวอกของพ่อแม่ก็แทบละลาย

แต่การที่ลูกจะมีสุขภาพดี และสดชื่นนั้นก็มิใช่จะบังเกิดกับเด็กทุกคน ประหนึ่งกับน้องแอมป์ลูกหญิงคนเล็กของคุณยุพาพร ลูกน้อยคนนี้มีอายุเพียงสองขวบเศษเท่านั้น ก็สัมผัสพบกับโรคร้าย ล้มเจ็บเป็นโรคมะเร็งในช่องท้อง

“กลางคืนหนึ่งน้องเกิดเป็นไข้สูงถึง 38-40 องศา ต้องกุลีกุจอพาส่งโรงพยาบาลโดยกะทันหัน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2554 เมื่อก่อนนี้มีอาการท้องบวม ปวดท้องอย่างมากมาย อาการท้องผูก และอุจจาระแข็ง แพทย์ขอกระทำการเจาะเลือด เจาะไขสันหลัง สำหรับสำรวจหาโรคมะเร็งและนำเลือดไปตรวจจับที่ห้องปฏิบัติการ”

“ผลการตรวจพบเห็นเนื้อร้ายในช่องท้องของน้อง มีความยาวประมาณ 8 เซนติเมตร กว้าง 5 เซนติเมตร จำเป็นต้องกรีดหน้าท้องเพื่อนำชิ้นเนื้อในท้องไปตรวจสอบเพื่อค้นคำตอบ ช่วงนั้นหมอก็แจ้งกับคุณยุพาพร ผู้เป็นแม่ให้เตรียมใจเอาไว้ว่าชิ้นเนื้อที่พาไปตรวจสอบนั้น สามารถเป็น เนื้อร้าย 80% สิ้นเสียงคุณหมอราวฟ้าผ่าลงกลางใจของคนเป็นแม่”

“ฉันทำได้แค่ก้มศีรษะแล้วอุ้มลูกมาสวมกอดไว้ที่อก ลูกเองก็กอดแม่เอาหน้าแนบไหล่ ได้แต่พูดในใจว่าลูกยังเด็กนักเกิดมาได้ 1 ปี 6 เดือน ต้องไปจากกันแล้วเหรอ แล้วบอกกับตัวเองว่าน้องยังตายมิได้แม่จะกระทำทุกอย่างเพื่อขอให้ลูกมีชีวิตอยู่ เมื่อถึงบ้านก็ไม่คุยกับใครได้แต่สวดมนต์ไหว้พระจนพ่อของน้องโทรมาหาฉัน ดิฉันบอกไปร้องห่มร้องไห้ไปจนปวดศีรษะ พ่อน้องบอกว่าอย่างใดก็ต้องบำบัดรักษา”

ผลตรวจสอบจากห้องแล็ปถูกส่งมาในเวลาบ่ายของวันเดียวกัน ปรากฏว่าชิ้นเนื้อที่เอาไปพิจารณานั้นมิใช่เนื้อร้าย แต่ก็ต้องเร่งรีบทำการดูแลรักษาด้วยการให้คีโม

“การฉายแสงหนแรกเมื่อเดือนมกราคม เป็นเหตุให้เส้นของน้องระเบิด มีไข้ และเกล็ดเลือดลดลง คุณหมอทำการวิเคราะห์สแกนกระดูก เมื่อกลับมาพักดูแลตัวที่บ้าน ดิฉันกับสามี ต้องพร้อมใจกันฉีดยาละลายลิ่มเลือดให้ลูกแต่ละวัน ลูกก็ยังต้องกินยาลดความดันสูงทุกวี่ทุกวัน”

“ช่วงที่ทำคีโมผิวของน้องเริ่มดำคล้ำ เล็บมือและเล็บเท้าก็ดำคล้ำ ปากซีด หน้าเซียว ผมก็เหมือนกับต้นหญ้าแห้งไหม้ ผิวเหี่ยว เพียงแค่ย่ำเดินก็ไม่มีแรง รับประทานอาหารได้เบาบาง และเขาจะร้องไห้หวาดกลัวคนแปลกหน้า โดยเฉพาะคุณหมอและพยาบาล”

แม้ว่าจะอยู่ในช่วงความทุกข์ทรมานของครอบครัว เรื่องราวที่ดีก็มีขึ้นพอให้ทั้งหมดในบ้านมีกำลังใจขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เมื่อเพื่อนข้างบ้านแนะนำน้ำดื่มแอคทิเวท ให้กับน้องได้ลองดูดื่ม

“หลานของคนแถวบ้านคนนี้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองและได้นำน้ำดื่มแอคทิเวท (Activated Water)มาดื่มพร้อมด้วยใช้อาบน้ำ ผลลัพธ์คือหลานมีสภาพบรรเทาเยอะ จากเหตุนี้จึงตกลงใจให้น้องดื่มน้ำ ACTIV120 พร้อมกันไปกับการรักษา ตั้งแต่ตอนให้เคมีบำบัดหนแรกตอนกุมภาพันธ์ 2554”

“ฉันยังให้ลูกดื่มน้ำดื่มแอคทิเวท ไปพร้อมทั้งการให้เคมีบำบัดโดยไม่ให้ดื่มน้ำอื่นอีกเลย และถัดจากนั้นทุกครั้ง ที่จะทำการฉายแสงก็จะจำเป็นเจาะเลือดทุกหน ข้อสรุปเลือดออกมาว่าเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดอยู่ในมาตรฐานปรกติดี ไม่จำเป็นให้ยาเสริมใดๆ เลย ยิ่งกว่านั้นดิฉันยังปลาบปลื้มอย่างมากมายเมื่อบทสรุปการเอ็กซเรย์ และการสแกนกระดูกเป็นปกติธรรมดา”

ข้อสรุปการเอ็กซเรย์ CT สแกน หรือสมองกลความเร็วสูงครั้งที่ 2ทำหลังจากทีแรก 6 สัปดาห์ ครั้งนี้ผ่านการทำเคมีบำบัดครั้งที่ 1 และให้น้องดื่มน้ำ ACTIV120 ไปแล้ว พบว่ามะเร็งในท้องลดน้อยลงจากราว 8 เซ็นต์ เหลือ 6 เซนติเมตร
ผลลัพธ์การเอ็กซเรย์ CT สแกนครั้งที่สาม หลังจากครั้งที่ 2 12 อาทิตย์ เนื้องอกในท้องหดเหลือราวๆ 3 เซ็นต์
บทสรุปการเอ็กซเรย์ CT สแกนครั้งที่ 4 ภายหลังครั้งที่ 3 16 สัปดาห์ กำลังรอผลจากคุณหมอเพื่อรอการผ่าตัดเอามะเร็งออกให้ไม่เหลือ

“น้องมีตุ่มเล็กๆขึ้นใบหน้าใกล้เคียงกับกลากน้ำนมขึ้นที่แก้ม บางทีกินขนมแล้วเลอะหน้ามีเม็ดขึ้น ฉันก็นำเอาผ้าชุบน้ำดื่มแอคทิเวท มาเช็ดใบหน้าให้เขา ผดผื่นก็ค่อยๆ ยุบตัวลงถึงไม่จำเป็นต้องทายา”

“ปัจจุบันน้องสุขภาพอนามัยแข็งแรงไม่เหมือนคนเจ็บ เป็นเด็กสดใส อารมณ์ดี พิสูจน์ได้ว่า น้ำ ACTIV120 ช่วยสนับสนุนอนามัยน้องได้"

“ก่อนหน้านี้ ลูกชายคนโตเป็นไข้บ่อย ต้องพาไปหาแพทย์ทุกสัปดาห์ ตอนนี้ก็ให้ลูกนำน้ำ ACTIV120ไปดื่มที่โรงเรียนด้วยทุกวี่ทุกวัน ฉันมีความสุขมากเพราะเขาไม่เป็นโรคหวัดอีกแล้ว”
ทุกวันนี้บ้านคุณยุพาพรเป็นครอบครัวน้ำ ACTIV120 (Activated Water)เพราะดื่มทั้งครอบครัว

“ครั้งหนึ่งพริกกระเด็นเข้าตาเจ็บแสบมาก ฉันใช้วิธีการการลืมตาในน้ำดื่มแอคทิเวท ผลปรากฎว่าหายแสบสนิท”
“ไม้ต้นหน้าบ้านราวกับมันใกล้จะตายใบร่วงโรยและเริ่มเหลือง ใช้น้ำดื่มแอคทีฟ วันทูโอไปรด 2-3 ครั้ง มองดูว่าต้นไม้ฟื้นคืนชีพและเขียวสดใสขึ้นมา”



ขอบคุณบทความจาก : http://activated-drinking-water.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น